"คนที่รับประทานอาหารที่บรรจุในกล่องโฟมทุกวัน
วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี
มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า"
เป็นข้อมูลที่มนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอาจยังไม่เคยรู้
ภาชนะโฟม
ทั้งที่อยู่ในรูปแบบของ กล่องข้าว แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ และถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหาร
ที่เรารับประทานกันเป็นประจำนั้น มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย นายอำพล
วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า
ภาชนะโฟมบางประเภทจะมีคำเตือนระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "ไม่ควรนำมาใส่อาหารหรือไม่ควรนำมาใส่ของร้อน"
ส่วนถุงพลาสติกที่ใช้กันดาษดื่นตามท้องตลาดซึ่งมีมากมายหลายประเภท
และแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน
หากนำถุงพลาสติกมาใช้ผิดประเภทอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
โดยมีผลทางการแพทย์พบว่า ทำให้เสี่ยงโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า
ส่วนประกอบของภาชนะโฟมมีสารพิษที่เป็นอันตราย
ยิ่งรับประทานก็ยิ่งมีสารพิษสะสมในร่างกาย ดังนั้น
ในทุกปีโดยเฉพาะผู้ชายที่รับประทานเข้าไปมากๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
ในขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งสองเพศมีโอกาสสูงที่จะเป็นมะเร็งตับ
และยังทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่าย หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่ปกติ
โดยเฉพาะบางร้านที่ใช้ถุงพลาสติกรองกล่องโฟมด้วย
จะทำไห้ได้รับสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้น 2 เท่า ถ้าถุงที่ใช้นั้นผิดประเภท
หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในภาชนะโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อม
อวัยวะบางส่วนพิการ
และคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารบรรจุภาชนะโฟมทุกวัน อย่างน้อยวันละมื้อ
ติดต่อกัน 10 ปี ก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
การใช้ภาชนะโฟมที่ไม่เหมาะสม
เช่น นำชามโฟมไปใส่ก๋วยเตี๋ยวที่ร้อนจัด หรือนำไปใส่อาหารที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ
สารสไตรีนที่เป็นองค์ประกอบในภาชนะโฟมซึ่งจะละลายตัวได้ดีในน้ำมัน
ก็จะผสมปนเปกับอาหารได้ง่าย
หรือแม้กระทั่งมีการนำอาหารในกล่องโฟมไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ
ก็จะยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายขึ้นไปอีก
ทั้งนี้
กฎหมายที่ควบคุมมาตรฐานและการแสดงฉลากของกล่องโฟมมี 3 ฉบับคือ 1.
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 (พ.ศ. 2548) เรื่อง
กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ซึ่งได้กำหนดปริมาณสไตรีน
ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด 2. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
ฉบับที่ 4225 (พ.ศ. 2553) เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสำหรับ
อาหาร ตามมาตรฐานเลขที่ มอก.655 เล่ม 1-2553
โดยได้กำหนดประเภทภาชนะพลาสติกที่ทนความร้อน ธรรมดา ทนความเย็น
และกำหนดปริมาณสไตรีน ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด และ 3.
ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2544) เรื่อง
ให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ซึ่งต้องแสดงคำเตือน
"ห้ามใช้บรรจุของร้อน" และ "ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่กำลังร้อนจัด
โดยเฉพาะอาหารทอดด้วยน้ำมัน" สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ทนความร้อนได้ไม่เกิน
95 องศาเซลเซียส
"แม้จะมีกฎหมายที่ควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารอย่างถูกสุขลักษณะได้
สคบ.แนะนำให้ผู้บริโภคตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ภาชนะโฟมเหล่านี้"
เลขาธิการ สคบ.
บอกว่า ประชาชนควรเลือกรับประทานอาหารที่ใส่ในภาชนะที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น
ชานอ้อย หรือมันสำปะหลัง ซึ่งปัจจุบันมีผลิตออกมาอย่างแพร่หลาย
ด้วยราคาที่จับต้องได้ หรือภาชนะไบโอ ซึ่งสามารถทนต่ออาหารที่มีอุณหภูมิสูง ๆ ได้
ปลอดสารก่อมะเร็ง และไม่มีผลกระทบต่อระบบประสาทและระบบฮอร์โมน
นอกจากนั้นยังสามารย่อยสลายได้ภายใน 45 วัน และยังเป็นการลดโลกร้อนได้ด้วย
หรือจะใช้ปิ่นโตแทนจะดีที่สุด
หากผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ
หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้า สามารถแจ้งไปยัง สคบ.
ผ่านช่องทางสายด่วน สคบ.1166 หรือทางเว็บไซต์ www.ocpb.go.th
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น