วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วัยรุ่นไทยสมัยนี้ ทำไม ดุ (จัง) ?!!


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

         "...มึงอยากลองดีใช่มั้ย"
          ...&@#%+$#&@%%&$#... (
คงพอเดากันออกนะคะ)

         เสียงแตกเนื้อหนุ่มที่แว่วอยู่อีกฝั่งถนนอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ แต่จากภาพที่มองผ่านกระจกมองข้างทำให้พอสรุปได้ว่า เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างหนุ่มรุ่นกระทงนับจำนวนได้ 7 นายยังไม่ยุติ ซึ่งต้นเหตุของความบาดหมางคืออะไรก็ไม่สามารถรู้ได้

วัยรุ่นไทย...ทำไมถึง "ดุ" อย่างนี้นะ ---?!!

         หากย้อนไปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา การก่อความรุนแรงชนิด "เอากันถึงตาย" ของ "วัยเลือดร้อน" ยังปรากฏเป็นข่าวต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลสถานการณ์ข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น พบว่ามีด้วยกัน 5 ลักษณะ คือ การก่อความรำคาญทั่วไป เช่น แก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่ง การปล้นทรัพย์ การทำลายทรัพย์สินราชการ การทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการรุมโทรม

         อย่างไรก็ดี ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่นักวิชาการชี้ว่าเป็นปรากฏการณ์เฉพาะของวัยรุ่นไทย ก็คือการ"ยกพวกตีกัน" อีกทั้งข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ระบุว่า "นักเรียนยกพวกตีกันมีเฉพาะเด็กไทยชาติเดียว" (ควรภูมิใจไหมเนี่ย!!) 

         ขณะที่สติถิเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีทำร้ายชีวิตและร่างกายของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ก็ยังเพิ่มสูงขึ้นถึง 27.8% ... นี่คือสัญญาณอันตรายที่สังคมต้องลงมือแก้ปัญหาโดยด่วน!!

อาจารย์อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า สามารถแบ่งสาเหตุความรุนแรงในวัยรุ่นได้ 3 ประการ คือ

         1. เกิดจากภาวะ "ศักดิ์ศรีบกพร่อง" จึงทำให้วัยรุ่นอยากอวดศักดิ์ดาด้วยการแสดงถ้อยคำและพฤติกรรมรุนแรง ตลอดจนการแย่งผู้หญิง

         2. เกิดจากการดื่มสุราและเครื่องดื่มมึนเมา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงอย่างดีเยี่ยม โดยปัจจุบันมีเด็กมัธยม อาชีวะ และมหาวิทยาลัยดื่มสุราเป็นครั้งคราวสูงถึง 30%

         3. การพนัน อาทิ พนันบอล ซึ่งจากการสำรวจวัยรุ่นเป็นรายจังหวัด พบว่าจังหวัดใดที่มีสัดส่วนวัยรุ่นเล่นเกมการพนันมาก ก็จะมีสัดส่วนของความรุนแรง อาทิ ทำร้ายร่างกาย สูงตามไปด้วย

ประเด็นที่น่าสังเกตคือ การก่อความรุนแรงโดยวัยรุ่นมักเกิดขึ้นเมื่อมีการรวมกลุ่ม หรือ "ตั้งแก๊ง"

         ขณะที่ กิตติพันธ์ กันจินะ นักพัฒนาเอกชน ศูนย์เพื่อน้องหญิง ระบุถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นรวมกลุ่มกันคือ ความต้องการพบเพื่อนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน อาทิ แว้นบอย-สก๊อยเกิร์ล รวมถึงเป็นเพราะมีปัญหาครอบครัวแตกแยก การไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมและถูกตีตราว่าเป็นอันธพาล

         อีกสาเหตุหนึ่งที่เชื่อเลยว่าสังคมคงปฏิเสธไม่ได้ว่า "สื่อต่างๆ" เป็นปัจจัยสำคัญที่ชักนำวัยรุ่นเข้าสู่หลุมดำของความรุนแรง ซึ่งผลสำรวจของเอแบคโพลล์ ระบุถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น 7 อันดับ ได้แก่ ภาพยนตร์ การชักจูงและสนับสนุนจากเพื่อน ข่าวความรุนแรงที่เสนอตามสื่อ เกมคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต รายการโทรทัศน์ นิยาย หรือการ์ตูนแนวก้าวร้าว

...ถามว่า ทำไมสื่อจึงมีอิทธิพลสูง

         สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำตอบว่า สื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์เป็นชนวนเหตุสำคัญ ที่นิยมนำเสนอการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหานับเป็นตัวกระตุ้นให้วัยรุ่น ซึ่งยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อยเกิดการซึมซับและเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว

ต่อไปนี้เป็นทางออกที่น่าสนใจในการช่วยการแก้ปัญหาวัยรุ่นเลือดร้อน        

        รัฐและผู้กำหนดนโยบายควรแยกแยะประเภทสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ เพื่อยับยั้งไม่ให้เด็กและวัยรุ่นได้ชมภาพยนตร์ที่รุนแรง

        สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษา มีกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงนอกเวลาเรียน เช่น การทำงานหารายได้พิเศษ การเล่นดนตรี กีฬา คอมพิวเตอร์ ฯลฯ

        ควรสนับสนุนการสอดแทรกสุนทรียรสเข้าสู่สื่อดนตรีที่ผลิตเพื่อวัยรุ่น แทนที่เพลงก้าวร้าว รุนแรง เพราะยามเกิดปัญหากดดันคับข้องใจ วัยรุ่นชายมักเลือกหาทางออกโดยใช้เพลงเป็นเครื่องผ่อนคลาย

        เพื่อนเป็นปัจจัยที่ทรงอำนาจ ดังนั้น ควรมีการสร้างและพัฒนากลุ่มเพื่อนที่มีคุณภาพ เพื่อให้วัยรุ่นมีช่องทางคบหาสมาคมกับเพื่อนที่จะช่วยนำพาชีวิตไปในทางสร้างสรรค์ 

         หากกลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้มีโอกาสเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีพอ และมีการสนับสนุนให้ได้รับการพัฒนาตนเอง และมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง พวกเขาคงไม่ดิ้นรนค้นหาเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจแบบ "หลงทาง" อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ 



ที่มา : http://hilight.kapook.com/

การป้องกันหวัดในหน้าฝน เลี่ยงป่วยด้วยวิธีเบสิก โบกมือลาโรคหวัดได้เลย


  การป้องกันหวัดในหน้าฝน ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เพียงรู้วิธีรักษาตัวรอดให้ปลอดจากหวัดตามนี้ ไม่มีทางป่วยแน่นอน

          หน้าฝนเวียนมาทีไร เป็นต้องมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยกันทุกที โดยเฉพาะโรคหน้าฝน อย่างไข้หวัดที่เหมือนจะแวะเวียนมาให้ได้พบกันบ่อย ๆ เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ใครที่ร่างกายแข็งแรงหน่อยก็สบายไป แต่คนที่ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองล่ะจะทำยังไงกันดี เอาล่ะ ไม่อยากป่วยในหน้าฝนก็ต้องรีบมาดูวิธีป้องกันไข้หวัดในหน้าฝนที­­่เราหย­ิบมาฝากกัน จำให้ขึ้นใจแล้วนำไปใช้ ก็ลาได้เลยกับไข้หวัดน่ารำคาญ

 1. รับประทานวิตามินซี



          วิตามินซี ถือเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นการรับประทานวิตามินซีก็สามารถช่วยป้องกันไข้หวัดได้เช่­­­­นกัน ไม่เพียงเท่านั้น วิตามินซียังช่วยรักษาอาการหวัดได้อีกด้วย ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย รับประทานวิตามินซีกันไว้ก่อนก็ดีกว่านะนอกจากจะหาทานได้จากอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวแล้ว ก็ยังมีในผักใบเขียวและผักตระกูลกะหล่ำอีกด้วย หรือถ้าไม่ค่อยรับประทานผักผลไม้ก็ลองหาที่เป็นอาหารเสริมมารับ­­­­ประทานแทนค่ะ

 2. รีบอาบน้ำทันทีหลังจากโดนฝน



          จริง ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้เราเป็นหวัดจากการโดนฝนนั้นมาจากสภาวะร่างกา­­­­ยที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันในขณะที่โดนฝน ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้ตัวร้ายอย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนั้นสามารถเข้าสู่ร่างกายและท­ำให้เกิดการติดเชื้อกลายเ­­­ป็นไข้หวัดได้ ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด ทุกครั้งที่โดนฝนควรรีบอาบน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายและชำระล­้างเชื้อโรคออกจากร่างกายค่ะ

 3. หมั่นล้างมือให้สะอาด



          ใช่ว่าเชื้อโรคไข้หวัดจะอยู่แค่ในน้ำฝนเท่านั้น แต่ยังอยู่ในทุก ๆ ที่เลยล่ะค่ะ การรักษาความสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการล้างมือ แค่เพียงเราหมั่นล้างมือให้สะอาดก็ปลอดภัยจากเชื้อไข้หวั­ดได้แ­ล้วแต่ถ้าไม่สะดวกจะล้างมือจริง ๆ ก็ใช้เจลล้างมือแทนได้เหมือนกันค่ะ

 4. ดื่มเครื่องดื่มร้อนให้มากขึ้น



          การดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ สามารถช่วยคงระดับอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติได้ ซึ่งร่างกายที่อบอุ่นจะปลอดภัยจากเชื้อโรคไข้หวัดมากกว่าร่างกา­­­­ยที่เย็นและเปียกชื้น รู้แบบนี้แล้วก็ควรจะหมั่นดื่มน้ำอุ่น หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ กันให้มากขึ้นดีกว่าเนอะ

 5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า



          ไม่ว่า หู ตา จมูก ปาก ก็ล้วนแต่เป็นทางเข้าของเชื้อโรคได้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าโดยที่ยังไม่ได้ล­­­­้างมือให้สะอาด หรืออย่างน้อยก็ควรใช้เจลล้างมือทำความสะอาดมือเสียก่อนในกรณีท­­ี่ไม­­่สะดวกจริง ๆ

 6. รักษาความสะอาดของอาหาร



          การรับประทานผักหรือผลไม้ สามารถช่วยสร้างเสริมร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงได้ แต่ถ้าหากก่อนที่จะนำมารับประทานหรือก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร เราล้างทำความสะอาดไม่ดีพอ นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจ­­­­นท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ยังไม่สุ­­ก หรืออาหารที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาดจะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคที่อยู่ในอาหารเหล่าเข้าสู่ร่าง­­กา­

 7. ดื่มน้ำมาก ๆ



          น้ำ ถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นแล้วก็ยังช่วยให้ขับสารพิษ­­­­และของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ จึงจำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือมากกว่านั้นก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพค่ะ

 8. พยายามอย่าให้ถูกยุงกัด



          ยุง เป็นพาหะโรคไข้เลือดออกที่สำคัญ โดยเฉพาะยุงลาย ซึ่งมักจะมีมากในช่วงหน้าฝน เนื่องจากจะมีบริเวณที่มีน้ำขังมากเ­ป็นพิเศษ และบริเวณที่มีน้ำขังนี่ล่ะคือแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของยุงเลย ถ้าไม่อยากป่วยก็ควรจะกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง และหาทางป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการใช้ยาทากันยุงทาผิวค่ะ

 9. เลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่เย็นขณะตัวเปียก




          หลายคนเวลาที่ถูกฝนจนตัวเปียกก็มักจะหาที่ร่มเพื่อกำบังฝน บางคนเลือกเข้าไปหลบในบริเวณที่เปิดแอร์หรือบริเวณที่มีอากาศเ­ย็น­­­ ขอบอกเลยค่ะว่า วิธีนี้อาจจะทำให้คุณป่วยได้ง่ายกว่าเดิมอีก เพราะเมื่อร่างกายเย็นมากเกินไป ก็จะยิ่งเอื้ออำนวยให้เชื้อโรคไข้หวัดสามารถเติบโตและทำงานได้ม­ากขึ้น ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและป่วยได้ง่าย ๆ เลย แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรจะพกผ้าเช็ดตัวไว้ในกระเป๋าที่สามารถกันน้ำได้ เพื่อที่เวลาหลบเข้าที่ร่มที่อากาศเย็น ๆ เราจะได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวเพื่อให้ร่างกายแห้งขึ้นสักเล็กน้อยก็­­­­ยังดี

 10. พกร่มหรือเสื้อกันฝนไว้เสมอ




          เลี่ยงการถูกฝนได้ดีที่สุดก็คือ การเตรียมร่มหรือเสื้อกั­นฝนให้พร้อมเสมอโดยเฉพาะเสื้อกันฝนนี่­ควรพกเอาไว้เลยค่ะ เพราะเสื้อกันฝนสามารถช่วยป้องกันฝนไม่ให้โดนตัวเราได้เกือบจะ 100 % ยิ่งถ้ามีร่มด้วยจะยิ่งดีเลยเชียวล่ะ และอย่าคิดว่าของพวกนี้หนักหรือเกะกะเลยนะ เมื่อเทียบกับสุขภาพสุขภาพ ถือว่าคุ้มค่านะ

 11. หมั่นออกกำลังกาย



          หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีเท่าไร คล้ายจะเป็นหวัด ลองออกกำลังกายให้มากขึ้นสิคะ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยลดอาการป่วยจากไข้หวัดได้ โดยอาจจะแค่เพียงจ็อกกิ้งไปรอบ ๆ บ้าน หรือถ้าใครมีอุปกรณ์ออกกำลังกายก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ยิ่งเหงื่อออกนี่ล่ะยิ่่งช่วยได้เยอะเลย

 12. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่




          แม้ไข้หวัดทั่วไปจะเป็นเรื่องที่ธรรมดา แต่สำหรับไข้หวัดใหญ่นี่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ค่ะ ที่สำคัญในช่วงฤดูฝนยังเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายมาก ทางที่ดีควรไปฉีดวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ที่โรงพยาบาลจะดีกว­­่า


          โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน หลอดเลือดสมอง ไตวาย หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ และโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด บุคคลากรทางการแพทย์ หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กวัย 6 เดือน - 2 ปี ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย หรือผู้ที่มีความคุ้มกันบกพร่องค่ะ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขมักจะให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัด­­ใหญ่ให้คนกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ฟรี ๆ ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด

          ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะกับวิธีการป้องกันตัวเองจากโรคไข้หวัดในช่­­­­วงหน้าฝน สิ่งสำคัญเลยก็คือพยายามเลี่ยงการถูกฝน เพราะจะทำให้เราป่วยได้ง่ายมาก และหากไม่สบายขึ้นมาก็ควรพักผ่อนมาก ๆ รีบรักษาให้หาย เพราะป่วยหน้าฝนแบบนี้ หากไม่รักษาดี ๆ ก็มีโอกาสเป็นหวัดเรื้อรังได้ค่ะ

ที่มา : http://health.kapook.com


วิธีใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง ป้องกันโรคอย่างมั่นใจต้องใส่แบบนี้


  วิธีใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง  แค่เพียงสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี ก็ช่วยป้องกันโรคได้อย่างมั่นใจ

        ด้วยโรคภัยและเชื้อไวรัสตัวใหม่ที่ทยอยเกิดขึ้นมาไม่ซ้ำหน้า ทำให้เราต่างตื่นตัวและดูแลตัวเองกันมากขึ้น อย่างการสวมใส่หน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีป้องกันโรคในเบื้องต้นทางหนึ่ง ซึ่งหากจะสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคได้อย่างมั่นใจ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขก็มีคำแนะนำในการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องตามนี้


1. ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมใส่
2. สวมหน้ากากอนามัยโดยหันด้านสีเข้มออกด้านนอก ด้านสีจางชิดจมูก ขอบลวดต้องอยู่ด้านบน และรอยจีบพับต้องคว่ำลง
3. ขยับหน้ากากอนามัยให้ครอบคลุมทั้งจมูกและปาก
4. สำรวจสายหน้ากากว่ากระชับกับใบหน้าหรือไม่ หากสายหน้ากากหย่อนยาน ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยอันใหม่ทันที
5. หากหน้ากากอนามัยเปรอะเปื้อนหรือชำรุด ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยอันใหม่ทันที
6. หากใช้หน้ากากที่ทำด้วยกระดาษ ควรเปลี่ยนทุกวัน
7. สำหรับหน้ากากอนามัยชนิดผ้า ควรซักและตากแดดให้แห้งทุกครั้งหลังใช้งาน
8. แม้จะใส่หน้ากาอนามัยอยู่ ก็ต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง โดยเฉพาะเวลาจามหรือไอ
9. เมื่อจะทิ้งหน้ากากที่ใช้แล้ว ควรใส่ถุงพลาสติก และทิ้งในถังขยะให้มิดชิด

        นี่ก็เป็นวิธีสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง หรือใครอยากตอกย้ำความสะอาดปลอดภัยมากขึ้นอีกขั้น มาลองทำหน้ากากอนามัยใส่เองก็ได้นะคะ วิธีทำก็ไม่ยาก สามารถดูได้จากที่กรมควบคุมโรค เขาแนะนำไว้ตรงนี้เลย



        เพียงสวมใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกวิธีตามนี้ ก็ช่วยป้องกันโรคติดต่อที่แฝงมาทางอากาศและลมหายใจ รวมทั้งมลพิษที่ต้องเจอในแต่ละวันก็ไม่สามารถเข้าถึงเราได้ง่าย ๆ ด้วยนะคะ

ที่มา : http://health.kapook.com

ฟังเพลง บรรเลงสุขภาพ



ฟังเพลง บรรเลงสุขภาพ (Twenty-Four Seven)

         ในร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำมากถึงสามในสี่ ดังนั้นหลายทฤษฎีทางการแพทย์จึงให้ความสำคัญในการกระตุ้น รักษาสมดุลการทำงานของน้ำในระดับโมเลกุล หนึ่งในนั้นคือการเชื่อว่า ถ้าสามารถทำให้โมเลกุลน้ำมีการเรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์ในลักษณะผลึกหกเหลี่ยม จะทำให้การนำพาอาหารเข้าสู่อวัยวะต่างๆ เป็นไปอย่างทรงประสิทธิภาพ และทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากสาเหตุโรคภัย เครื่องมือสำคัญที่ราคาถูกและให้ผลทั้งในแง่อารมณ์ควบคู่ไปกับกายภาพ คือ การใช้เสียงดนตรี และนี่คือเคล็ดลับ และหลักการที่คุณควรรู้และเริ่มทำ

         คลื่นเสียงมีอิทธิพลต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าภายในร่างกายมนุษย์ อวัยวะใดที่มีคลื่นความถี่ต่ำก็มักเกิดการสะสมของสารพิษได้ง่าย ดังนั้น การฟังดนตรีที่เหมาะสมจึงช่วยกระตุ้นความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ทำงานสมดุล สม่ำเสมอ  จังหวะและเสียงดนตรีจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจและสมองของคนเราอย่างมาก การรับฟังดนตรีที่มีความไพเราะอยู่เสมอ จะทำให้สมองหลั่ง สารแห่งความสุข ช่วยลดความตึงเครียดทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ทำให้เกิดสมาธิ มีจิตใจสงบ ระบบหัวใจ ระบบขับถ่าย ระบบหายใจทำงานได้ดี ความดันโลหิตเป็นปกติ ทำให้เกิดภูมิต้านทานต่อโรค รอดพ้นจากความเจ็บป่วย

         นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่า หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานประเภทท่องจำ ท่องบทต่างๆ ควรฟังดนตรีประเภทเขย่าครึกโครม หรือดนตรีระบบใหม่ๆ เช่น แนวเพลงป๊อป ร็อค แร็พ ควบคู่ไปด้วย จะช่วยให้สมองสามารถจำได้ง่ายและเร็วขึ้น ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเขียนบทความ นิยาย แถลงการณ์ ควรฟังดนตรีแนวคลาสสิก ที่มีสำเนียงเยือกเย็นคลอในระหว่างทำงาน จะเพิ่มจินตนาการและสมาธิ สำหรับงานคิดคำนวณ งานบัญชี งานรวบรวมเอกสาร หรือวัตถุดิบ ควรฟังเพลงพวกเครื่องสาย เช่น ไวโอลิน กีต้าร์ ที่ช่วยกระตุ้นระบบสัมผัส

         ในด้านการแพทย์ มักแนะนำให้ใช้เสียงดนตรีกระตุ้นทารกในครรภ์มารดา ผลปรากฏว่าเด็กมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงเพลง ทั้งทางพฤติกรรมและร่างกายที่ดี เสียงเพลงที่นุ่มนวลจะทำให้เด็กมีอาการสงบเงียบ ร่างกายเจริญเติบโตขึ้น และยังช่วยให้ระบบหายใจและระบบย่อยอาหารดีขึ้น นอกจากนี้การนำเสียงดนตรีมาบำบัดรักษาผู้ป่วยปัญญาอ่อน โดยเฉพาะการใช้ดนตรีสดหรือบรรเทาความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดของผู้ป่วยใน 48 ชั่วโมงแรก ผลปรากฏว่าช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายภาวะทางอารมณ์ และช่วยทุเลาอาการเจ็บปวดได้ดี

         รายงานการวิจัยมากมายยืนยันว่าความสัมพันธ์ของคลื่นเสียงมีอิทธิพลต่อน้ำในร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ หากผลึกน้ำในร่างกายมีรูปทรงหกเหลี่ยมอันเกิดจากการได้รับฟังเสียงที่ไพเราะ ก็จะสามารถแทรกซึมผ่านผนังเซลล์เพื่อแลกเปลี่ยนสารอาหารและชำระล้างของเสียออกจากร่างกายได้ ขณะที่การรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นโทรศัพท์ หรือเสียงดนตรีแนว Heavy Metal รวมทั้งมลภาวะทางเสียงทั้งหลาย กลับทำให้ผลึกน้ำในร่างกายแปรเปลี่ยนรูปทรงเป็นผลึกที่ไม่สวยงามและไม่มีคุณภาพ เช่น เป็นทรงกลม หรือเป็นรูปทรงผลึกที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ที่ด้อยลง

         นักดนตรีบำบัดยืนยันว่าดนตรีสามารถเบี่ยงเบนความสนใจหรือความหมกมุ่นในใจของคนเราให้หันเหออกไปจากจุดเดิมที่เป็นอยู่ การฟังเพลงเวลาเครียดจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะสมองถูกเบี่ยงเบนและได้รับวงจรใหม่ ในต่างประเทศจึงมีการใช้ดนตรีกับผู้ป่วยหลังผ่าตัดเพื่อลดอาการเจ็บปวด ความวิตกกังวล ส่วนประเทศไทยมีการใช้ดนตรีกับกายภาพบำบัด โรคเครียด ผู้ที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ วัยรุ่นที่มีความก้าวร้าว เป็นโรคจิตซึมเศร้า ดนตรีจึงมีความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ ระบบประสาท และภูมิคุ้มกันโรค

         หากต้องการอารมณ์ที่จรรโลงใจและดีต่อสุขภาพจิต ลองเลือกฟังดนตรีที่ให้ความสงบสุข เช่น ดนตรีของ Kitaro, Enja หรือบทเพลงทางศาสนา ส่วนเพลงบรรเลง (Light Music) ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น สบาย หรือถ้าอยากปลุกความสามัคคีก็ลองเลือกฟังเพลงประเภทประสานเสียง เป็นต้น

         การอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีเบาๆ เราจะสัมผัสถึงความรู้สึกที่ชุ่มชื่น และอารมณ์ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุล เพลงใดที่ฟังแล้วรู้สึกเข้าถึงอารมณ์ แสดงว่าเพลงนั้นมีระดับความเร็ว (Tempo) เท่ากับจังหวะชีพจร ซึ่งระดับความเร็วนี้ก็เป็นตัวช่วยสร้างอารมณ์ให้แก่ผู้ฟังด้วย ดนตรีจังหวะเร็วๆ อาจทำให้

         รู้สึกเหนื่อย แต่หากจังหวะยิ่งช้าก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การเริ่มหาจังหวะของตัวเอง ควรเริ่มต้นที่จังหวะของดนตรีซึ่งช่วยให้ร่างกาย กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง บรรเทาอาการหงอย เฉื่อยชา เกียจคร้าน บางจังหวะบางบทเพลงอาจช่วยให้ค้นพบอารมณ์ของตัวเอง และยกระดับความรู้สึกให้ดีขึ้นช่วยสยบความวิตกกังวลและความเครียดทำให้มีสมาธิ มีสติปัญญาแจ่มใสขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และความไวของความรู้สึก


         มนุษย์คุ้นเคยกับเสียงดนตรีมาก่อนถือกำเนิด เราได้ยินเสียงดนตรีธรรมชาติจากหลายทาง ตั้งแต่จังหวะการเต้นของชีพจร หัวใจที่สัมผัสได้จากท้องแม่ ลมหายใจ การก้าวย่าง ฤดูกาล น้ำขึ้นน้ำลง ล้วนเป็นจังหวะในชีวิตและธรรมชาติ นี่คือส่วนหนึ่งของความสมดุลในชีวิต จึงนับเป็นไอเดียที่ดี ถ้าในวันไหนหรือช่วงเวลาใดที่เรารู้สึกอ่อนไหว อ่อนเพลีย หรือขาดแรงกระตุ้น จะลองหันมาใช้ชีวิตในเสียงดนตรีมากขึ้น เพราะมันคือการกลับสู่พลังงานต้นกำเนิด

ที่มา : http://health.kapook.com

เปลี่ยนนิสัยให้ใจเย็นลงด้วย 5 วิธีฝึกความอดทนให้ตัวเอง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ฝึกตนเองให้มีความความอดทนมากขึ้น ด้วย 5 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่รับรองว่าถ้าทำได้คุณจะเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นเยอะเลยละ

          สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ทุกอย่างดูรีบเร่งอยู่ตลอดเวลา จนอาจทำให้เรามีความอดทนน้อยลงกว่าแต่ก่อน และเพราะความอดทนที่น้อยลงนี่ละ ที่ทำให้เราหงุดหงิดและเกิดความเครียดง่ายขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นสะสมกันเป็นเวลานานก็อาจจะทำให้สุขภาพจิตแย่ลง กลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน บางรายอาจหนักถึงขนาดกลายเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะเรามีความอดทนน้อยลงนั่นเอง แต่เราจะทำอย่างไรให้มีความอดทนมากขึ้นละ การมองโลกในแง่ดีก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ก็ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ อย่างเช่นวิธีที่เว็บไซต์ huffingtonpost.com นำมาแนะนำกัน เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าเราจะฝึกความอดทนให้ตัวเองได้อย่างไรบ้าง

  1. เอ่ยขอบคุณให้มากขึ้น

          การขอบคุณมีประโยชน์มากมาย การวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการขอบคุณทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง และช่วยทำให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารด้านจิตวิทยา Psychological Science ในปี 2014 ยังพบอีกว่า การขอบคุณสามารถช่วยให้เรามีความอดทนมากขึ้น

          ขณะที่ Ye Li นักวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์จากคณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียริเวอร์ไซด์ ได้เปิดเผยว่า การที่เราแสดงออกว่าเรารู้สึกอย่างไรจะช่วยให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แถมยังช่วยลดการขาดความอดทนลงได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ในการฝึกขอบคุณก็แค่เพียงเราเอ่ยคำว่าขอบคุณกับคนที่ทำบางสิ่งให้คุณด้วยรอยยิ้ม หรือนึกขอบคุณตัวเองเมื่อสามารถทำบางสิ่งได้ เมื่อเราขอบคุณจนเป็นนิสัยก็จะทำให้เรามองโลกในแง่ดีและมีความอดทนมากขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ

  2. มีสติให้มากขึ้น

          เชื่อว่าหลายคนก็คงต้องเคยวอกแวกทำในสิ่งที่เราไม่รีบร้อนแทนที่จะทำในสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่าโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว นั่นก็เป็นเพราะเราไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ ได้ หลายครั้งที่ความคิดของเรามักโดดไปมาระหว่างเรื่องนั้นเรื่องนี้จนทำให้เราไม่สามารถควบคุมความคิดตนเองได้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เรารู้สึกยุ่งยากและวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาจนทำให้เรากลายเป็นคนเร่งรีบและมีความอดทนน้อยลง

          การมีสติและการตระหนักถึงความคิดของเราอยู่เสมอจะช่วยทำให้เราสามารถจัดระเบียบความคิดของเราได้ดียิ่งขึ้น ลองเขียนความคิดต่าง ๆ ของคุณลงในกระดาษดูค่ะ จะช่วยให้คุณจัดการความคิดของตัวเองได้ และทำให้เรารู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกรีบเร่งหรือทำให้เราไม่มีความอดทน วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมความคิดไม่ให้วอกแวกได้ง่าย ๆ ค่ะ


  3. ฝึกการรอให้เป็นนิสัย

          ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับในสิ่งที่ต้องการทันทีทันใด แม้จะทำให้เรารู้สึกดี แต่นักวิจัยทางจิตวิทยากลับมองว่ามันให้ความหมายที่ตรงข้ามกัน โดยในการศึกษาหนึ่งพบว่าการรอคอยบางสิ่งจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขในระยะยาวมากกว่า ซึ่งการทำให้เรามีนิสัยการรอคอยที่ดีที่สุดก็คือการฝึกตัวเองให้รู้จักการรอนั่นเอง โดยอาจจะเริ่มจากการรอในระยะเวลาสั้น ๆ สัก 10 นาที หรือการรอคอยรายการโทรทัศน์ที่ชอบที่ฉายในช่วงวันหยุด เมื่อเราสามารถรอจนเป็นนิสัยได้แล้ว ก็จะทำให้เรามีความอดทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังทำให้คุณมีความสุข และไม่หงุดหงิดเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ต้องรอนาน ๆ อีกด้วย


  4. ฝึกให้ตัวเองยอมรับในสิ่งที่ยากลำบากให้ได้

          บางครั้งความสะดวกสบายก็ไม่ได้ดีเสมอไป เพราะความสะดวกสบายเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกมีความอดทนน้อยลง และเมื่อเราต้องเจอกับความยากลำบากเราจึงไม่สามารถอดทนกับมันได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะฝึกให้ตนเองทนกับความยากลำบากและความไม่สะดวกสบายให้ได้ และเมื่อเราสามารถอดทนกับสิ่งเหล่านั้นได้ เราก็จะมีความอดทนมากขึ้น และสามารถมีความสุขแม้ว่าต้องพบเจอกับสิ่งที่ดูยากลำบากก็ตาม


  5. หายใจลึก ๆ

          เมื่อเรารู้สึกว่าหลาย ๆ สิ่งมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ การถอนหายใจแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก็สามารถช่วยให้เราสงบจิตใจและร่างกายตัวเองได้ ซึ่งวิธีการผ่อนคลายง่าย ๆ นี้จะช่วยทำให้ช่วยลดความกระวนกระวายใจที่ซึ่งจะนำพาความรู้สึกในแง่ลบต่าง ๆ อย่างเช่น อารมณ์หงุดหงิด เสียใจ ผิดหวัง หรือโกรธเคืองลงได้ค่ะ



          ความอดทนเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกฝนด้วยตนเอง เช่นเดียวกับการมองโลกในแง่ดี เพราะไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะทำ ถ้าหากเรามีความอดทนมากขึ้นเราก็จะมีความสุขมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งของภายนอกเลยละค่ะ

ที่มา : http://health.kapook.com

นอนน้อย กินอะไรให้สดชื่น ต้อง 8 อาหารบำรุงคนอดนอนตามนี้



นอนน้อยนอนดึกทุกวัน จนกลายเป็นหมีแพนด้าขอบตาดำคล้ำ ว่าแต่นอนน้อยแบบนี้ กินอะไรให้สดชื่นดีล่ะ


          สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องนอนดึกทุกวัน หรือนอนไม่พอบ่อย ๆ ร่างกายคงอ่อนล้าจนอยากหาอะไรมาบำรุงให้รู้สึกสดชื่นขึ้นแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นมาลองดูอาหารบำรุงสำหรับคนอดนอนที่เรานำมาฝากสิคะ นอนน้อยแบบนี้ กินอะไรให้สดชื่น ต้องนี่เลย


 1. เต้าหู้ เนื้อปลา ไก่ ไข่ขาว ไข่แดง และถั่วเหลือง

          อาหารเหล่านี้มีโคลีน (Choline) ตัวช่วยสร้างเคมีสมอง สารอาหารจำเป็นสำหรับคนนอนดึก เพราะจะช่วยให้สมองที่เหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอได้รับสารอาหารไปบำรุง ทดแทนเคมีสมองธรรมชาติที่ร่างกายไม่มีโอกาสสร้างขึ้นมาเองเพราะเราอดนอน ทำให้สมองเกิดความตื่นตัวแม้จะไม่ได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอมาก่อน


 2. ข้าวกล้องงอกและธัญพืช

          กาบ้า (GABA) คือสิ่งที่ร่างกายต้องการจากข้าวกล้องและธัญพืช โดยกาบ้าจะช่วยให้สมองที่ยังมึน ๆ ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งวิตามินบีที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ตื่นตัวอีกด้วย


 3. น้ำ

          การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดเลยรู้ไหมคะ เพราะน้ำจะช่วยให้ปริมาณออกซิเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รู้สึกตื่นตัวมากขึ้น

          อ้อ ! แต่น้ำที่ควรจิบในระหว่างวันควรต้องเป็นน้ำในอุณหภูมิห้องนะ เพราะร่างกายจะดูดซึมไปไหลเวียนในเลือดได้ง่ายกว่าน้ำเย็น ดังนั้นแม้น้ำเย็นจะทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ถ้าอยากหายง่วงเร็ว ๆ ควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติดีกว่า


 4. ดื่มดาร์กช็อกโกแลตหรือโกโก้แทนกาแฟ

          ถ้าอยากปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยคาเฟอีนในกาแฟ ขอแนะนำให้เลี่ยงมาดื่มดาร์กช็อกโกแลตหรือโกโก้แทนดีกว่า เพราะในเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้มีฟลาโวนอยด์ สารกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น


5. เน้นผัก ผลไม้

          ผักและผลไม้มีปริมาณวิตามินซีและวิตามินบีอยู่พอสมควร รวมทั้งแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของต่อมไพเนียล (Pineal Gland) เพราะหากเมื่อเรานอนไม่พอขึ้นมาเมื่อไร เจ้าต่อมไพเนียลก็จะออกอาการงอแงไม่อยากจะทำหน้าที่จนเรารู้สึกงัวเงียตามไปด้วย ดังนั้นหากอยากปลุกความสดชื่น ผักสดและน้ำผลไม้คั้นสด ๆ นี่แหละตัวช่วยที่ดี


6. น้ำใบบัวบก

          ที่ต้องแยกใบบัวบกออกมาอีกข้อ เพราะสรรพคุณของใบบัวบกโดดเด่นจนอยากให้คนนอนน้อยได้เห็นชัด ๆ ค่ะ โดยเมื่อเรานอนไม่พอบ่อย ๆ ร่างกายอาจเสี่ยงต่อการอักเสบที่บริเวณต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และใบบัวบกจะช่วยลดความเสี่ยงอาการอักเสบเหล่านี้เอง ฉะนั้นหากนอนน้อยมาหลายวัน จัดน้ำใบบัวบกคั้นสด ๆ สักแก้วสิคะ จะรออะไร


7. โปรตีนอย่าให้ขาด

          โดยเฉพาะในมื้อเช้าและเที่ยง สารอาหารที่ร่างกายควรได้รับต้องจัดหนักโปรตีนจากอาหารประเภทนม โฮลเกรน และวิตามินจากผักผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน และให้บรรดาวิตามินและเกลือแร่เข้าไปเสริมทัพการทำงานของระบบประสาทและสมอง



 8. ถั่วชนิดต่าง ๆ

          ถั่วก็เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุค่อนข้างสูง อีกทั้งถั่วยังมีโพแทสเซียม ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมองด้วยนะคะ ในวันที่ร่างกายอ่อนล้าเพราะนอนไม่พอ ขอให้ถั่วได้เป็นของกินเล่นข้างกายคุณเถอะ


          อาหารที่ควรต้องกินในวันที่นอนไม่พอก็ได้รู้กันไปแล้วว่าถ้านอนน้อยควรจะกินอะไรบำรุงร่างกายดี แต่ยังมีอาหารที่อยากให้เลี่ยงด้วยนะคะ เช่น อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหนัก ๆ และของหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจากอาหารเหล่านี้จะยิ่งกล่อมให้เรารู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่อยากลุกไปทำอะไรเลยล่ะ

ที่มา : http://health.kapook.com

10 ผักผลไม้นี้อย่าปอกเปลือก ไม่อยากพลาดคุณค่าสุดเจ๋งต้องกินพร้อมเนื้อ !


 เปลือกผักผลไม้ บางชนิดที่เราปอกทิ้ง ขอบอกให้ชัด ๆ ว่าที่จริงแล้วอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ไม่ลิ้มลองสักนิดจะเสียดาย

          เรามักจะคิดว่าผักผลไม้ที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้มีคุณประโยชน์อยู่ที่เนื้อในของผักผลไม้เท่านั้น และปอกเปลือกทิ้งเพราะกลัวเรื่องสารพิษตกค้าง โดยที่เราไม่ทราบว่าเราได้ทิ้งคุณค่าทางอาหารที่เผลอ ๆ จะมีมากกว่าเนื้อที่เรารับประทานกันเสียอีก อย่าให้คุณค่าเหล่านั้นเสียไปโดยที่เรายังไม่ทันได้รู้ถึงสิ่งดี ๆ ที่มีในเปลือกกันดีกว่า ลองไปดูคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณเด็ด ๆ ของเปลือกผักผลไม้ 10 ชนิดนี้ที่เราหยิบมาฝากกันค่ะ อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนใจหันมารับประทานเปลือกไปพร้อมกับ ๆ เนื้อกันมากขึ้นก็ได้นะ


 แอปเปิล
         
          ใครที่ยังปอกเปลือกแอปเปิลก่อนรับประทานอยู่รีบเลิกทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วเปลือกแอปเปิลมีประโยชน์พอ ๆ กับเนื้อแอปเปิลเลยนะ ทั้งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ในประมาณครึ่งหนึ่งของไฟเบอร์ที่ได้รับจากแอปเปิลทั้งผล และสารฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารสำคัญในการดูแลสุขภาพหัวใจ โดยเจ้าสารฟลาโวนอยด์สามารถช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค และโพแทสเซียม ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง อย่ามัวแต่กลัวสารเคมีตกค้างในเปลือกกันเลยค่ะ ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาดก็ล้างซ้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนรับประทาน หรือแช่ด่างทับทิมจะดีกว่านะ จะได้ไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหารโดยไม่จำเป็นจากการปอกเปลือกทิ้งค่ะ


 เปลือกแตงโม

          ไม่ว่าจะเป็นตรงส่วนที่เป็นเนื้อขาว ๆ หรือตัวเปลือกสีเขียวของแตงโม ล้วนแต่เป็นส่วนที่ไม่ควรทิ้งอย่างยิ่ง แม้หลาย ๆ คนจะคิดว่าเป็นส่วนที่ไม่ควรรับประทานเพราะอาจจะมีสารเคมีตกค้าง ทั้ง ๆ ที่ส่วนของเปลือกอุดมไปด้วยไลโคปีน (Lycopene) เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) และซิทรูลีน (Citrulline) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่เช่นเดียวกับเนื้อแตงโม โดยซิทรูลีนนั้นมีฤทธิ์ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้


 มะเขือม่วง

          เปลือกสีม่วงเข้มของมะเขือม่วง นอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันในอาหารแล้วก็ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่านาซูนิน หนึ่งในสารกลุ่มแอนโธไซยานินที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยในการทำงานของสมอง และสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ ไม่เพียงเท่านั้น ในเปลือกมะเขือม่วงยังอุดมไปด้วยกรดคลอโรเจนิกที่สามารถช่วยป้องกันการอักเสบ และส่งเสริมความต้านทานต่อกลูโคสในร่างกาย ทำให้ความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลง


 แตงกวา

          ใครอยากมีสุขภาพผมและเล็บที่แข็งแรงฟังทางนี้ คราวหน้าที่รับประทานแตงกวาอย่าปอกเปลือกเป็นอันขาด เพราะเจ้าแตงกวาที่อยู่เป็นผักเคียงในอาหารจานต่าง ๆ นั้น บริเวณเปลือกเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุซิลิก้า (Silica) ซึ่งช่วยสร้างเสริมสุขภาพผมและเล็บให้แข็งแรงเงางาม ไม่เพียงเท่านั้น ส่วนเปลือกที่หลาย ๆ คนชอบคิดว่าขมน่ะจริง ๆ มีไฟเบอร์สูงไม่เบาเลย และใครที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่ายเปลือกแตงกวาก็ช่วยได้ค่ะ


 แครอท

          อยากให้รู้ว่าคุณค่าทางอาหารแบบเน้น ๆ ของแครอทน่ะไม่ได้อยู่แค่ในเนื้อแครอทเท่านั้น ในส่วนของเปลือกเองก็มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย นับตั้งแต่เบต้าแคโรทีนที่ช่วยบำรุงสายตา และไฟเบอร์ที่ดีต่อลำไส้ อีกทั้งรสชาติก็ไม่แตกต่างจากเนื้อแครอทอีกด้วย คราวหน้าถ้านำแครอทมารับประทานก็ลองล้างให้สะอาดแล้วนำมาปรุงเลย หรือถ้าจะรับประทานสด ๆ ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่


มันฝรั่ง

          มันฝรั่งเป็นพืชอีกชนิดที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก แต่ก็ต้องนำไปทำให้สุกก่อนนะ โดยเปลือกมันฝรั่งนั้นเต็มไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหารอย่างวิตามินเค โพแทสเซียม ทองแดงและธาตุเหล็ก ยิ่งถ้านำมันฝรั่งมาทำมันบดทั้งเปลือกด้วยละก็ ก็ยิ่งทำให้ได้รสสัมผัสที่แปลกใหม่ยิ่งขึ้น 


กล้วย

          ถ้าพูดถึงเปลือกกล้วยหลาย ๆ คนก็อาจจะคุ้นเคยกันดีเพราะว่าในอาหารบางอย่าง เช่น แหนมเนือง ก็นำกล้วยดิบทั้งเปลือกมาฝานรับประทานเป็นเครื่องเคียง แต่ถ้าไม่ชอบรับประทานกล้วยดิบละก็ รับประทานเปลือกกล้วยตอนที่กล้วยสุกก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะเปลือกกล้วยนั้นก็มีคุณค่าทางอาหารทัดเทียมกับเนื้อกล้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 แมกนีเซียม และโพแทสเซียม อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ที่มีสูงกว่าในเนื้อกล้วย สามารถช่วยระบบขับถ่าย นอกจากนี้ในเปลือกกล้วยก็ยังมีสารทริปโตเฟน (Tyrptophan) ที่ช่วยสร้างเสริมสารเซโรโทนินในร่างกาย ส่งผลทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าได้อีกด้วยล่ะ


ส้ม

 ส้ม มะนาว เลมอน

          อยากจะบอกว่าประโยชน์ลับ ๆ ของผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเหล่านี้ก็คือส่วนเปลือกมีวิตามินซีสูงกว่าเนื้อในถึง 2 เท่า ! แถมยังอุดมด้วยสารไรโบฟลาวิน วิตามินบี 6 แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและต้านการอักเสบอีกด้วย วิธีรับประทานก็ไม่ต้องรับประทานสด ๆ ก็ได้ค่ะ เพราะถ้ารับประทานสด ๆ แล้วอาจจะทำให้รู้สึกขม ลองนำไปแปรรูปแบบอบแห้งหรือเชื่อมเอาไว้รับประทานเป็นของว่างก็ดีไม่หยอก หรือจะนำไปขูดละเอียดโรยบนสลัดก็ได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน


ฟักทอง

          เปลือกฟักทองแข็ง ๆ อย่าเพิ่งคิดว่ารับประทานไม่ได้เชียวนะ เพราะเจ้าเปลือกฟักทองสีเขียว ๆ นั้นเมื่อนำไปทำให้สุกแล้วก็สามารถรับประทานได้เหมือนกับเนื้อฟักทองปกติ แถมยังมีสรรพคุณดี ๆ เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต บำรุงอวัยวะต่าง ๆ และช่วยสร้างเสริมส่วนที่สึกหรอ เห็นไหมว่ารับประทานเปลือกเข้าไปด้วยก็ได้ประโยชน์เพิ่มอีกเยอะเลย


 หัวบีท

          หัวบีท ซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด การปอกเปลือกทิ้งไปเป็นความคิดที่ผิดเลยล่ะ เนื่องจากในเปลือกของหัวบีทมีคุณค่าทางอาหารมากมายอย่างวิตามินเอ ซึ่งมีสูงเป็นสองเท่าของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี 6 แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม และธาตุเหล็ก ของดี ๆ ทั้งนั้น ทิ้งไปล่ะเสียดายแย่


          มีแต่ประโยชน์ดี ๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ ใครที่ไม่เคยจะรับประทานเปลือกของผักผลไม้เหล่านี้ก็ไม่ต้องเสียดายค่ะ คราวหน้าก็ลองรับประทานแบบทั้งเปลือกดู แม้เปลือกของผักผลไม้บางชนิดอาจจะขมไปนิด แต่เพื่อประโยชน์ที่มากกว่าก็คุ้มนะเออ อ้อ ! แล้วก็อย่าลืมล้างให้สะอาดนะ จะได้ไม่เจอกับสารพิษตกค้างในเปลือกผักผลไม้มาก่อกวนสร้างปัญหาสุขภาพในอนาคต

ที่มา : http://health.kapook.com

กินอาหารกล่องโฟม อันตราย


"คนที่รับประทานอาหารที่บรรจุในกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า" เป็นข้อมูลที่มนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอาจยังไม่เคยรู้
ภาชนะโฟม ทั้งที่อยู่ในรูปแบบของ กล่องข้าว แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ และถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหาร ที่เรารับประทานกันเป็นประจำนั้น มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ภาชนะโฟมบางประเภทจะมีคำเตือนระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "ไม่ควรนำมาใส่อาหารหรือไม่ควรนำมาใส่ของร้อน" ส่วนถุงพลาสติกที่ใช้กันดาษดื่นตามท้องตลาดซึ่งมีมากมายหลายประเภท และแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน หากนำถุงพลาสติกมาใช้ผิดประเภทอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยมีผลทางการแพทย์พบว่า ทำให้เสี่ยงโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ส่วนประกอบของภาชนะโฟมมีสารพิษที่เป็นอันตราย  ยิ่งรับประทานก็ยิ่งมีสารพิษสะสมในร่างกาย ดังนั้น ในทุกปีโดยเฉพาะผู้ชายที่รับประทานเข้าไปมากๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งสองเพศมีโอกาสสูงที่จะเป็นมะเร็งตับ และยังทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่าย หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยเฉพาะบางร้านที่ใช้ถุงพลาสติกรองกล่องโฟมด้วย จะทำไห้ได้รับสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้น 2 เท่า ถ้าถุงที่ใช้นั้นผิดประเภท หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในภาชนะโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อม อวัยวะบางส่วนพิการ  และคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารบรรจุภาชนะโฟมทุกวัน อย่างน้อยวันละมื้อ ติดต่อกัน 10 ปี ก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
การใช้ภาชนะโฟมที่ไม่เหมาะสม เช่น นำชามโฟมไปใส่ก๋วยเตี๋ยวที่ร้อนจัด หรือนำไปใส่อาหารที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ สารสไตรีนที่เป็นองค์ประกอบในภาชนะโฟมซึ่งจะละลายตัวได้ดีในน้ำมัน ก็จะผสมปนเปกับอาหารได้ง่าย หรือแม้กระทั่งมีการนำอาหารในกล่องโฟมไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ ก็จะยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ กฎหมายที่ควบคุมมาตรฐานและการแสดงฉลากของกล่องโฟมมี 3 ฉบับคือ 1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 (พ.ศ. 2548) เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ซึ่งได้กำหนดปริมาณสไตรีน ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด 2. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4225 (พ.ศ. 2553) เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสำหรับ อาหาร ตามมาตรฐานเลขที่ มอก.655 เล่ม 1-2553 โดยได้กำหนดประเภทภาชนะพลาสติกที่ทนความร้อน ธรรมดา ทนความเย็น และกำหนดปริมาณสไตรีน ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด และ 3. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2544) เรื่อง ให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ซึ่งต้องแสดงคำเตือน "ห้ามใช้บรรจุของร้อน" และ "ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่กำลังร้อนจัด โดยเฉพาะอาหารทอดด้วยน้ำมัน" สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ทนความร้อนได้ไม่เกิน 95 องศาเซลเซียส
"แม้จะมีกฎหมายที่ควบคุมได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารอย่างถูกสุขลักษณะได้ สคบ.แนะนำให้ผู้บริโภคตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ภาชนะโฟมเหล่านี้"
เลขาธิการ สคบ. บอกว่า ประชาชนควรเลือกรับประทานอาหารที่ใส่ในภาชนะที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ชานอ้อย หรือมันสำปะหลัง ซึ่งปัจจุบันมีผลิตออกมาอย่างแพร่หลาย ด้วยราคาที่จับต้องได้ หรือภาชนะไบโอ ซึ่งสามารถทนต่ออาหารที่มีอุณหภูมิสูง ๆ ได้ ปลอดสารก่อมะเร็ง และไม่มีผลกระทบต่อระบบประสาทและระบบฮอร์โมน นอกจากนั้นยังสามารย่อยสลายได้ภายใน 45 วัน และยังเป็นการลดโลกร้อนได้ด้วย หรือจะใช้ปิ่นโตแทนจะดีที่สุด

หากผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้า สามารถแจ้งไปยัง สคบ. ผ่านช่องทางสายด่วน สคบ.1166 หรือทางเว็บไซต์ www.ocpb.go.th

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th